วันเสาร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2554

betty blue สายลมที่หวังดี


ผมเขียนถึงหนังเรื่องนี้ในเช้าวันที่อุณหภูมิเมืองไทยร้อนอบอ้าว แต่จะถึง 37.2องศาเหมือนชื่อภาษาฝรั่งเศสของหนังเรื่องนี้หรือเปล่าก็บอกไม่ได้ แต่ร้อนอ่ะ

หลายอาทิตย์มาแล้วที่คิดถึงหนังเรื่องนี้  หนังภาษาต่างประเทศเรื่องแรกในชีวิตที่ไม่พูดภาษาอังกฤษ ตอนนั้นเป็นเด็กมัธยมขาสั้นที่ชอบดูหนังเป็นชีวิตจิตใจ  และรู้จักหนังเรื่องนี้จากหนังสือเกี่ยวกับหนังชื่อ หนังและวิดีโอ  มีคุณสุทธากร สันติธวัชเป็นบก. ในหนังสือพูดถึงหนังเรื่องนี้ดีมาก แต่จำได้อย่างเดียวคือ ในนั้นเขียนว่า หนังเรื่องนี้มีฉากร่วมรักที่โจ่งแจ้งและมีไม่น้อย  ทำให้อยากหามาดู บอกกันตรงๆเลย คืออยากรู้ว่านอกจากความดีที่นักวิจารณ์พูดถึงแล้ว ฉากร่วมรักที่โจ่งแจ้งที่พูดถึงโดยไม่ใช่หนังโป๊มันจะออกมายังไง ดูจบ บอกได้ว่า นี่คือหนังรักในดวงใจ โดยไม่ต้องมีฉากร่วมรักโจ่งแจ้งก็ได้

Betty Blue หรือ 37.2 องศาตอนเช้า เป็นเรื่องราวของซอค์ก ชายหนุ่มที่ทำงานใช้แรงงานไปวันๆเพื่อมีเงินซื้อเหล้ากิน  จนวันหนึ่งชีวิตก็เปลี่ยนไปเมื่อ เบตตึ้ สาวที่เดิมเขาคิดว่าจะมีสัมพันธ์ลึกซึ้งแบบเบ็ดเสร็จคืนเดียวแล้วแยกทางเหมือนสาวคนอื่น เดินเข้ามาในชีวิต  เบตตี้ไม่เหมือนกับสาวคนอื่นๆ  ทำให้ทั้งคู่หลงรักกันและร่วมรักกันแบบไม่มีวันหยุดนักขัตฤกษ์ ฉากแรกของหนังเปิดเรื่องมาก็อี๊อ๊ากันแล้ว เห็นกันโจ่งแจ้งไม่มีปิดบังหรือมุมกล้องช่วย ไม่มีอุปกรณ์ใดๆบัง เห็นจะๆ  ซึ่งไม่น่าแปลกใจเพราะรูปร่างที่ยั่วยวนชวนหลงใหลของเบตตี้นั้นช่างงดงามและสมส่วน เปรียบได้กับนางในฝันจากหนังสือกระตุ้นอารมณ์หลุดออกมาและมีชีวิตจริงๆ  แต่ไม่กี่นาทีต่อจากฉากร่วมรักเปิดเรื่อง เราก็ได้รับรู้ว่าชีวิตของเบตตี้ก็คล้ายกับนกที่ต้องการไม้ใหญ่ไว้พักพิง เธอต้องการใครสักคนที่เติมเต็มความอบอุ่น ใครก็ได้ที่ไม่มองเธอแค่รูปร่างยั่วยวนของเธอ รักเธอมากกว่าแค่ได้ร่วมรักกัน ซอค์กคือผู้ชายคนนั้น

เมื่อนกน้อยที่ต้องการไม้ใหญ่ไว้พึ่งพิงได้เจอกับไม้ใหญ่ที่ตามหา  และไม้ใหญ่ที่ยืนต้นรอวันตาย ได้รับความสดชื่นของเม็ดฝนที่รินหลั่งจากท้องฟ้า  มันจึงเป็นความลงตัวอย่างที่สุด  เบตตี้ย้ายเข้ามาอยู่กับซอค์กที่บ้านริมทะเล  ชีวิตของทั้งคู่คงไม่มีอะไรต่อจากนี้นอกจาก(ร่วม)รักกันไปจนวันตาย  ถ้าวันหนึ่ง เบตตี้ไม่ระเบิดอารมณ์เมื่อรู้ว่าซอค์กยอมเป็นเบี้ยล่างให้กับเจ้าของรีสอร์ทที่ให้บ้านอยู่เพื่อใช้เขาทำทุกอย่าง  ทุกอย่างที่หมายถึงการทาสีบ้านใหม่เกือบ 50 หลัง เธอโกรธ รื้อข้าวของเครื่องใช้กระจายทั่วบ้าน  ยกเว้นของในกล่องๆหนึ่งที่ซอค์กเก็บไว้อย่างลืม  มันคือ นิยายที่เขาเขียนไว้นานแล้ว  บางทีอาจจะนานจนเป็นแค่ฝันที่เก็บยัดลงกล่อง ซอค์ก คงคิดว่า สิ่งที่เขาทำมันไม่มีทางเป็นจริงขึ้นมาได้ เขาไม่ใช่นักเขียนเป็นเพียงคนขายแรงงานมีชีวิตอยู่กับกลิ่นเหงื่อและส่าเหล้าไปวันๆ หลายครั้งหลายหนที่คนเรายอมนั่งทับความฝันของตัวเอง ปล่อยให้ความจริงกัดกร่อนความฝัน เหมือนต้นไม้ที่โตแต่ต้น แต่ข้างในกลวงโบ๋ ความฝันแม้ไม่ใช่อาหารบำรุง แต่ก็คือน้ำหล่อเลี้ยงให้ไม้นั้นติบโต     แต่เบตตี้กลับตรงข้าม
เมื่อเปิดอ่าน เธออ่านจนถึงเช้า ก่อนจะพบว่า นี่คือผลงานที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของซอค์ก ชายที่มีดีเกินกว่าที่เจ้าตัวจะรู้ เบตตี้ต่างจากซอค์ก เชื่อในสิ่งที่ตัวเองฝัน เธอมีความหวังงว่าจะได้เจอผู้ชายที่เห็นคุณค่าภายในมากกว่าเรือนร่างภายนอก แม้จะถูกลวนลามทางคำพูด,สายตาและฝ่ามือกี่ครั้ง เธอยังคงเชื่อมั่นและเฝ้ารอการได้เจอชายคนนั้น จนมาเจอซอค์ก จึงไม่น่าแปลกใจว่า เมือเธอมองเห็นทองที่ถูกซุกซ่อนในผ้าขี้ริ้ว เธอพยายามอย่างดึงผ้าขี้ริ้วนั้นออก ทำให้ทองได้เปล่งประกายของมัน เบตตี้โน้มน้าวให้ซอค์กมั่นใจในผลงานเขียนของตัวเองอีกครั้ง กลับมาเชื่อมั่นในความฝันอีกครั้ง  แต่ซอค์กกลับบ่ายเบี่ยง หรือบางทีเขาเดินผ่านเส้นทางความจริงที่ทำลายความฝันของเขาจนหมดสิ้นแล้วก็ได้ ไม่คิดว่าสิ่งที่เธอคิดจะทำให้เป็นจริงได้อีกครั้ง

ในฉบับที่หยิบมาดูตามหลังเขาอีกครั้ง ต่างจากครั้งแรกที่ดูมาก ฉบับนี้เป็นแบบ director cut มีการเพิ่มเรื่องราวความสัมพันธ์และชีวิตรักของทั้งคู่ออกไปเยอะมาก ซึ่งได้ความเต็มอิ่มในบางสิ่งที่ขาดหายไปได้เห็นความรักของซอค์กที่ให้กับเบตตี้มากขึ้น (และฉากโจ่งแจ้งด้วย) แม้ปลายทางของเรื่องจะจบลงแบบเดียวกัน  แต่กลับชอบฉบับแรกที่ดู มันประทับใจกว่า บีบคั้นอารมณ์กว่า สะเทือนใจกว่า อันเป็นผลมาจากข้อจำกัดเรื่องเวลาในการฉาย version หลังนี้ลงแผ่นเลย จึงเพิ่มเติมเรื่องได้มากขึ้น

หลังจากเบตตี้รู้ถึงศักยภาพที่ซ่อนในตัวซอค์ก เธอก็ทำทุกวิถีทางที่จะให้งานของเขาได้รับการตีพิมพ์ เธอลงมือพิมพ์ต้นแบบทั้งที่พิมพ์ไม่เป็น พิมพ์เป็นสิบๆ ต้นฉบับเพื่อส่งให้กับสำนักพิมพ์ต่างๆ จากวันเป็นอาทิตย์ จากอาทิตย์เป็นเดือน ไม่มีการตอบรับ อารมณ์โกรธของเบตตี้เริ่มสะสมขึ้นเรื่อยๆ สิ่งที่น่ากลัวที่สุดของมนุษย์คือการไม่สามารถควบคุมอารมณ์ที่เหมือนน้ำในกายามเดือดได้ ยิ่งปล่อยไว้ น้ำในกาก็จะเดือดจนพลุ่งทะลักออกจากกา นั่นหมายถึงการลวกใส่คนที่ถืออยู่ เบตตี้ก็เฉกเช่นนำในกาใบนั้น  เมื่อซอค์กหยิบจดหมายตอบปฏิเสธมาอ่าน เบตตี้ตามไปบ้านของเจ้าของสำนักพิมพ์ ด่าว่าอย่างรุนแรง ก่อนฝากรอยแผลเล็กๆไว้บนใบหน้าของเจ้าของสำนักพิมพ์ เจ้าของสำนักพิมพ์แจ้งข้อหาทำร้ายร่างกาย ซอค์กต้องตามไปเคลียร์

จากนั้นมา  จากเพียงสายลมที่ผ่านมาปัดเป่าความแห้งแล้งในชีวิตของซอค์ก สายลมลูกนี้เริ่มก่อร่างกลายเป็นพายุร้าย  พร้อมเข้าโถมทำลายทุกอย่าง  เพื่อให้ผลงานของชายที่เธอรักได้ตีพิมพ์
และเมื่อรวมเข้ากับการได้รับรู้ว่า เธอแท้งลูก พายุลูกนี้ยิ่งเพิ่มพลานุภาพของมันโดยไม่อาจมีใครต้านทาน  จนสุดท้ายต้องเข้ารับการบำบัด 

ความรักอาจเคยเป็นเครื่องมือในการเยียวยาความเจ็บปวด ความผิดหวัง ทั้งหลายทั้งปวง ถึงตอนนี้ใช้ไม่ได้กับเบตตี้  บัดนี้สูญเสียการควบคุมตัวเองไปเรียบร้อยแล้ว คนเดียวที่จะยุติทุกอย่างก่อนพายุลูกนี้จะทำลายชีวิตตัวเธอเองและคนรอบข้างก็คือ ซอค์ก แม้จะเจ็บปวดแต่เขาก็ตัดสินใจที่หยุดมัน

ฉากซอค์กตัดสินใจยุติทุกอย่างนี้  เป็นฉากสะเทือนใจแบบสุดๆ  ไม่เพียงหมายถึงการหยุดชีวิตคนที่เขารักและมีความหมายที่สุดในชีวิต แต่หมายถึงการหยุดความฝันที่เขามีมาลงด้วยเช่นกัน เบตตี้เปรียบได้กับความหวังเดียวที่กลับมาหล่อเลี้ยงให้เขามีกำลังในการก้าวเดินต่อว่าเขาเป็นนักเขียนได้ หลังจากที่โยนมันทิ้งไปเมื่อนานมา  ด้วยหมอนใบเดียวทุกอย่างจบ

หลังพายุแห่งความหวังดีผ่านไปไม่นาน ซอค์กได้รับการติดต่อจากสำนักพิมพ์เล็กๆแห่งหนึ่งว่าสนใจที่จะพิมพ์งานของเขา  พร้อมกับงานเขียนเรื่องต่อไป  คิดว่าเขาอยากเขียนเรื่องไหนที่สุด
.  ..............................................................................................................................

ชีวิตบางครั้งก็ต้องการสายลมพัดหนุนให้เราไปถึงจุดหมาย ถ้าไม่มีลมพัดพาไป  ชีวิตก็ไม่ต่างอะไรกับเศษฝุ่นที่ถูกลืมถมทับหนาขึ้นทุกวัน ก่อนจะถูกเช็ดทิ้ง หายไปในที่สุด

................................................................................................................................

ปล. ดูจบฉบับเวอร์ชั่นแรก ยอมรับว่า ร้องไห้ เข้าใจในสิ่งเบตตี้และซอค์กทำ ไม่มีคำตอบว่า ใครควรหรือไม่ควรทำในสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด  สำหรับการดูเวอร์ชั่น director cut พบว่านอกจากจะเอมใจกับเรือนร่างของบริทริซ ดัลล์และ score ของ  เกเบียล ยาเรดแบบเต็มอิ่มแล้ว ยังพบว่าหลายฉากในหนังเรื่องนี้เป็นต้นฉบับในการหยิบยืมและลอกเลียนให้กับหนังหลายๆเรื่องต่อมา อันหนึ่งที่แน่ๆคือใบปิดหนังเรื่องนี้คือภาพหน้าปกเทปอัลบั้มหนึ่งของพี่อ๊อฟ พงษ์พัฒน์ วชิระบรรจง ชุดไหนไปหาดูเอง

............................................................................................................................................................



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น