วันศุกร์ที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2554
จากบทเพลงหนึ่งเดียวคนนี้
โจ ไรต์ เป็นผู้กำกับหนังที่ต้องบอกว่าหนังของเขาจัดอยูหมวด "ถ้าใจพร้อม กายไม่พร้อม มีสิทธิ์เข้าสู่โหมด Stand By หรือ บางคนอาจก้าวไปสู่หมด Shut Down ตั้งแต่กลางเรื่อง" ไม่ใช่ว่าหนังน่าเบื่อ หรือห่วยแตก ตรงข้ามเป็นหนังที่จัดในขั้น"ดี" เรื่องหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็น Pride & prejudice ,Atonement (เรื่องนี้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์สำคัญหลายสาขา แม้จะพลาด ทว่า มันเป็นหนังดี) จนมาถึงเรื่องนี้ Soloist
Soloist ดัดแปลงสร้างจากหนังสือของสตีฟ โลเปซ คอลัมนิสต์หนังสือพิมพ์ชื่อดังที่เขียนจากเรื่องจริงของมิตรภาพระหว่างตัวเขากับนักดนตรีข้างถนนที่ฝีมือการเล่นดนตรีขั้นเทพ ทว่ามีปัญหาด้านอารมณ์ นาธานเนี่ยล เอเยอร์ ซึ่งในหนังนักแสดงที่มารับบทสตีฟ โลเปซคือ โรเบิร์ต ดาวนี่ย์ จูเนียร์ บทนักดนตรีข้างถนนเป็นของ เจมี ฟ็อกซ์ ขอบอกว่าเป็นการเลือกนักแสดงที่เหมาะมาก ทั้งคู่ให้การแสดงที่พอเหมาะพอดี ไม่เค้นอารมณ์เกิน แค่ดูการแสดงของ 2 คนนี้ก็เพลินแล้ว ฉากระเบิดอารมณ์ในช่วงท้ายเรื่องที่ฟ็อกซ์แสดง ขอยกว่า เนียน
ตลอดทั้งเรื่อง ดูว่าบทของนักดนตรีข้างถนนของเจมี่ ฟ็อกซ์ จะมีสีสันกว่าบทนิ่งๆของ
โรเบิร์ต ดาวนี่ย์ จูเนียร์ เอาเข้าจริงแล้ว บทนี้เป็นบทมีสีสันไม่แพ้กัน แต่เป็นสีสันที่อยู่ข้างใน ใช้การแสดงที่เรียกว่า น้อยแต่มาก ถ้าได้นักแสดงที่ไม่เข้าใจ แสดงไม่ถึง จะไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงของตัวละครตัวนี้ จะทำให้หนังดูชืดสนิท ศิษย์ส่ายหน้ากันเลยทีเดียว เรียกว่า เป็นการแสดงที่ไม่มีใครเด่นกว่าใคร
ด้วยเนื้อหา"มิตรภาพระหว่างความแตกต่างระหว่างคน ๒ คน"ที่เคยถูกพูดถึงในหนังหลายๆเรื่อง ทำให้ระหว่างดูพบว่า สิ่งที่ค้ำจุน"อัจฉริยะหรือวีรบุรษ" ก็คือ"มิตรภาพ" โฟรโดแห่ง LOTR ไม่มีทางทำลายแหวนสำเร็จถ้าไม่รับการแบกของแซม,มนุษย์ค้างคาวอาจล้มไม่ลุก ถ้าไม่ได้คำปลุกใจจากพ่อบ้านอัลเฟรด หรือ แฮรี่ อาจต้องพ่ายต่อคนที่คุณก็รู้ว่าใคร ถ้าไม่มี ๒เพื่อนคู่คิด มิตรคู่ใจ รอนและเฮอร์ไมโมนี่
การเล่าเรื่องที่เป็นลายเซ็นของผู้กำกับคนนี้คือ การเล่าเรื่องแบบเรียงลำดับ ไม่มีหักมุม ซับซ้อน ซ่อนเงื่อน ทำให้หลายคนระหว่างดูอาจปรับสู่โหมด Stand By แต่ ถ้าใคร Play (ดูต่อ) ไม่กด Fast Faward (ไปอย่างเร็ว) หรือ Select Scence (เลือกฉาก) ดูจนจบ ล้วนต่างชอบหนังของผกก.คนนี้ทั้งนั้น ภายใต้การเล่าเรื่อยๆ สิ่งที่แฝงมาคือความเข้มข้นของการแสดง บางฉากจากบางเรื่องนี้ถึงขั้น "หนักหน่วง" ชวนติดตาม หนังที่ผ่านมาของผกก.คนนี้มักพูดถึง ตัวละครที่ไม่ยอมอยู่ในกรอบของสังคม มีวิธีคิดที่ไม่ยึดติดกับวิถีของคนส่วนใหญ่ เป็นแบบนี้เรืองจึงเข้มข้น นักแสดงต้องทำการบ้านมาเต็มที่ จะมานั่งนึกหน้ากอง ไม่ได้แน่ จึงไม่น่าแปลกใจว่าเมื่อไรที่ดูหนังของโจ ไรต์ จะเห็นบางสิ่งบางอย่างที่แฝงมา ดูกี่ครั้งก็จะเห็นต่างกันไปในแต่ละครั้ง เรื่องนี้ก็เช่นกัน
เสน่ห์อีกอันหนึ่งในหนังของผกก.โจ ไรต์นอกจากการไม่ยอมอยู่ใต้กฎของสังคมของตัวละครก็คือ การต้องเลือกระหว่าง มืด กับ สว่าง ในAtonement นี้ชัด ในsoloist แม้จะไม่ชัด แต่มีให้เห็น เมื่อถึงจุดที่สามารถเปลี่ยนแปลงมิตรภาพของโลเปซกับนาธานเนี่ยล ใครจะแบกรับอารมณ์ที่เปราะบางได้ทุกครั้ง ทุกเวลา
มี ๒ ฉากที่ดูแล้วชอบคือ ฉากนาธานเนี่ยลสีเชลโล่ให้สตีฟฟัง กับฉากสุดท้ายที่นาธานเนี่ยล ยื่นมือให้สตีฟพร้อมกับพูดว่า"ขอบคุณที่ยอมรับผมเป็นเพื่อน" ฉากนี้ดูแล้วนึกถึงคำพูด"เพื่อเพื่อนน้อยกว่านี้ได้ไง"ชะมัด
เมื่อไรก็ตามที่รู้สึก"ความเป็นเพื่อน"มาถึงจุดเปราะบาง ไม่ต้องทำอะไร "เข้าใจ"เพื่อนให้มาก อย่าขีดเส้นให้เขาเดิน อย่าบังคับให้เขาทำ ยอมรับในสิ่งที่เพื่อนเป็น เห็น(ใจ)ในสิ่งที่เพื่อนทำ แล้วจะพบว่า คุณค่าของน้ำมิตรอยู่ตรงไหน
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น